วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน กัลกิยาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน กัลกิยาวตาร


ทศอวตารปางปัจฉิม สุรทินอนาคตกาลสมัย
เมื่อคนชั่วเป็นโลกา จะทรงเสด็จมาฆ่าฟัน
มิให้เหลือรอดไป เพื่อจะคืนคงสันติสุขไตรภพ
พระพรหมจะตื่นขึ้นอีกหน ทรงจะดลสรางจักรวาลใหม่อีกครา

         ปางสุดท้ายของทศอวตารคือ กัลกิยาวตาร จะทรงอวตารมาเกิดเป็นอิศวินขี่ม้าขาวนามกัลกี บุตรของพราหมณ์ วิษณี ด้วยสมัยนี้เป็นช่วงท้ายของพรหมนิทรา พระพรหมจะตื่นขึ้นมาร่ายพระเวทสร้างจักรวาลอีกหน การณ์ครั้งนั้นโลกจะเต็มไปด้วยคนชั่วนานัปประการจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ปางนี้จึงต่างจากปางอื่นที่มีจุดประสงค์เจาะจงแต่ปางนี้ กัลกีจะควบม้าขาวฆ่าฟันทุกคนที่มาบาปชั่วช้า ทรงจะแกว่งดาบสังหารทุกคนไม่เหลือเพื่อจะได้สร้างโลกใหมอีกครั้ง จึงนับเป็นอนาคตปาง คือเป็นภาคที่จะเกิดในอนาคตยังมาไม่ถึงจะมาถึงในวันสิ้นโลกในคติความเชื่อของศาสนาฮินดูนั้นเอง เหมือนกับศาสนาพุทธที่มีพระศรีอริยเมตไตรยเป็นปางอนาคตยังมาไม่ถึง หรือในศาสนาคริสต์ที่รอการพิพากษาจากพระเจ้าและการกลับมาของพระเยซูนั่นเอง

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน พุทธาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน พุทธาวตาร

บรมเทพโลกเชษฐ์นาโถ  มิ่งภิญโญเสด็จมาจากสวรรค์
เพื่อปรายักษ์ตรีปูรัมอาธรรม์ ผู้หาญกล้าท้าทายทวยเทวา


           ปางอวตารปางที่ 9 ของพระนารายณ์ที่ระบุไว้คือ พุทธาวตาร ทรงอวตารมาเป็นนักบวชเพื่อหลอกล่อยักาตรีปุรัมให้วางศิวลิงค์ที่ทูนหัวออกเพื่อจะได้สังหารได้ ปางนี้เป็นปางที่มีปัญหาการกล่าวถึงกันบ่อยมากเป็นข้อพิพาทระหว่างชาวฮินดูและชาวพุทธมาอย่างยาวนาน            
          ในพระราชนิพนธ์ลิลิตนารายร์สิบปางของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ยักษ์ตรีปุรัม ได้ทำการบูชายัญอารัมภบทคถาถวายพระศิวะอยู่นานแรมปี จนพระศิวะพอใจพระศิวะจึงมาปรากฏกายให้ตรีปุรัมขอพรได้อย่างหนึ่ง ตรีปุรัมได้ขอพรว่าหากตนยังมีรูปเคารพของพระสิวะติดตัวไม่ว่าใครแม้แต่พระนารายร์ก็สังหารตนไม่ได้ พระศิวะพอใจในการบำเพ็ญเพียรของตรีปุรัมจึงประทานให้และสั่งสอนให้อยู่ในศีลธรรม แล้วก็เสด็จกลับไปยังเขาไกรลาสตามเดิม
            เมื่อตรีปุรัมได้พรดังกล่าวก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรมกบัเอาศิวลึงค์ตัวเเทนพระศิวะเหน็บไว่บนศรีษะต่างมงกุฎระรานผู้อื่นไปทั่วจนสร้างความเดือดร้อนเหลือคณานับ เมื่อเหิมเกริมได้ทีก็ยกพลมาท้าพระศิวะรบใครชนะได้ครองเป็นเจ้าจักรวาล พระศิวะพิโรธมากจึงสั่งรวมกองทัพภูตผีดขมดไพรและเรียกเหล่าเทวดาทั้งหมดมา พระนารายณ์ได้เสนอให้สังหารตรีปุรัมในครั้งเดียวด้วยการทรงพระมหาโมลีธนูขึ้นมา โดนใช้กำลังเขาพระสุเมรุมาทำคันธนู เอาพญาอนันตนาคราชมาทำสายธนู ใช้พระนารายณ์เป็นลูกธนู แต่พอพระศิวะจะยิงธนูใส่ตรีปุรัมที่ยกพลขึ้นมาพระนารายณ์ก็หลับไปทั้งสามครั้ง จนพระศิวะโยนศรทิ้งด้วยความโมโห พระนารายณ์สะดุ้งตื่นและทูลให้ทราบว่าเป็นเพราะพรของพระองค์นั้นเอง จึงอาสาไปเอาศิวลึงค์จากตรีปุรัม พระนารายณ์จึงแบ่งภาคลงมาอวตารเป็นนักบวช นุ่งผ้าย้อมฝาดสามพื้น โกนศีรษะโล้นรูปร่างสง่างามน่าเลื่อมใสเดินอย่างสวมรวมไปทางตรีปุรัม ตรีปุรัมเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสจึงเข้าไปสนทนาด้วย นักบวชก็สำแดงธรรมว่ากล่าวให้ตรีปุรัมหลงกลยอมถอดศิวลึงค์ออกมาถวายนักบวชและยอมรับนักบวชเป็นสรณะ เมื่อนักบวชไปแล้วตรีปุรัมก็ยกพลไปรบอีกแต่คราวนี้ตนเพ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเสียพรประกาศิตจากพระศิวะไปแล้ว พระศิวะจึงใช้กล้องส่องจากดวงเนตรที่สามถูกยักษ์ตรีปุรัมสลายหายไปในพริบตา
           นั้นคือเนื้อความตามลิลิตนารายณ์สิบปาง แต่ในคัมภีร์ของฮินดูกล่าวไว้ว่าทรงอวตารมาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อปราบพญาวัตสวัสตีมาร และล่อลวงคนที่เข้ามาเชื่อถือละทิ้งพระเจ้าให้ตกนรก ซึ่งเนื้อความข้อนี้เป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานของชาวพุทธและฮินดู ชาวพุทธยืนยันว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ภาคอวตารของพระนารายณ์เพราะศาสนาพุทธไม่มีการอวตารและยืนยันให้ชาวฮินดูแก้ไขภาคอวตารนี้ใหม่ แต่ชาวฮินดูกลับนิ่งเฉยทั้งยังกล่าวว่าพุทธเป็นสาขาหนึ่งของฮินดูเป็นบทลงโทษต่อบาปของพระนารายณ์ จึงกลายเป็นปัญหาคาราคาซังไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์ได้ศึกษากรณีนี้และลงความเห็นว่าแต่ก่อนปางที่เก้าของพระนารายณ์คงไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่อาจเป็นปางอื่นแต่การเปลี่ยนมาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพราะเรื่องการเมืองแก่งแย่งความเคารพนับถือในอินเดียมากกว่าเรื่องอื่นโดยการเขียนตำนานเทพเพื่อสนับสนุนเรื่องนี้เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่เขียนตำนานเทพสนับสนุนฐานะของสมเด็จพระจักรพรรดิ โดยในสมัยพุทธกาลมีชาวอินเดียหันมานับถือพระพุทธศาสนามากจนศาสนาฮินดูดูลดลำดับความสำคัญบางพื้นที่ก็ถูกทอดทิ้งเลยที่เดียว แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร ยิ่งอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมรินะซึ่งมีพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์ยิ่งทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แม้สิ้นยุคโมริยะเข้าสู่ยุคกนิษกะก็ยังไม่สามารถรื้อฟื้นอำนาจของศาสนาฮินดูกลับมาได้
          จนถึงสมัยพระเจ้าราชะราชา แห่งราชวงศ์ฝ่ายใต้ผู้มีศรัทธาในพระนารายณ์เป็นอย่างมากขึ้นมามีอำนาจบนแผ่นดินอินเดียได้ทรงยกเลิกศาสนาพุทธแต่ก็ไม่สามารถกลืนกินชาวพุทะได้ จึงทรงมีดำริที่จะกลืนชาวพุทธให้เข้ามาเป็นฮินดูอีกครั้งด้วยการเขียนตำนานอวตารปางที่เก้าของพระนารายณ์ใหม่ซึ่งอาจเป็นสมัยนี้เองที่พุทธาวตารถือกำเนิดขึ้น โดยกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าแท้จริงเป็นเพียงภาคหนึ่งของพระนารายร์ พระนารายณ์และเหล่าเทพฮินดูยังคงยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ผนวกกับเวลานั้นศาสนาพุทธเสื่อมลงแตกเป็นนิกายต่างๆมากมาย คนก็เริ่มหมดศรัทธาพระศาสนาพุทธสอนในสิ่งที่เป็นปรัชญายากต่อการทำความเข้าใจ ทั้งยังไม่ตอบโจทย์ของการมีชีวิตอยู่ของชาวอินเดียที่เรียกได้ว่ายากจนค้นแค้นปากกัดตีนถีบ ศาสนาฮินดูที่เน้นปาฎิหาริย์และพิธีกรรมจึงเข้ามามีบทบาทยิ่งมาการกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในทางเป็นอวตารของพระนารายณ์ด้วยแล้วยิ่งทำให้ผู้คนกลับมานับถือศาสนาฮินดูมากยิ่งขึ้น นี้จึงเป็นสาเหตุของการมีอวตารปางที่เก้าคือ พุทธาวตาร นั้นเอง

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน กฤษณาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน กฤษณาวตาร

บรมเทพอัฐภาคอวตาร นามศรีกฤษณะเทวา
โคบาลธิเบธรยศเกรียงไกร ศรีไผทงามงดจดไตรโลกา


         ปางอวตารปางที่แปดของพระนารายณ์คือกฤษณาวตารนี้ ทรงอวตารมาเป็นพระกฤษณะ ซึ่งเป็นภาคที่มีการบันทึกไว้ยาวมากทั้งในมหากาพย์มหาภารตะและคัมภีร์ภควคีตา เช่นเดียวกับภาคที่เป็นพระราม ด้วยเรื่องราวของพระกฤษณะเป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจทั้งยังเป็นภาคอวตารที่มีการนับถือมาเช่นเดียวกับพระราม แต่พระกฤษณะบางครั้งถูกยกออกมาต่างหากพระนารายณ์เลยทีเดียวในบ้างที่ ดังนั้นพระกฤษณะจึงมีความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับเหล่ามหาเทพของชาวฮินดู

เนื้อเรื่องกล่าวถึง กษัตริย์อุครเสน (Ugrasena) ผู้ครอง เมืองมถุรา พระองค์เป็นกษัตริย์ทรงคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของประชาชนทั่วไป ทรงมีมเหสีคือ นางปวนะเรขา(Pavanarekha) ปกครองบ้านเมืองร่วมกันอย่างมีความสุข
วันหนึ่งพระนางปวนะเรขาเสด็จประพาสป่า ถูกอสูรตนหนึ่งแปลงร่างเป็นกษัตริย์อุครเสนมาร่วมเสพสม ครั้งต่อมาอีกสิบเดือนจึงบังเกิดโอรส นามว่า “กังสะ” (Kansa) กษัตริย์อุครเสนทรงหลงคิดว่ากังสะเป็นโอรสของพระองค์
กังสะเมื่อเติบโตก็เริ่มแสดงออกถึงความชั่วร้าย เช่น ไม่เคารพบิดา สังหารเด็กอื่นๆ ตลอดจนใช้กำลังขู่บังคับเอาธิดาทั้งสององค์ของ กษัตริย์ชราสันธ์ (Jarasandha) แห่ง เมืองมคธ มาเป็นชายาของตน และสุดท้ายก็จับตัวกษัตริย์อุครเสนไปคุมขังไว้ จากนั้นจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน นอกจากนี้ยังขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
และที่สำคัญ กังสะ สั่งประกาศห้ามผู้คนไม่ให้ประกอบพิธีเคารพบูชา พระวิษณุ!!
พระวิษณุมหาเทพ ทรงทอดพระเนตรเห็นความเดือดร้อนของมนุษย์และทวยเทพ จึงตัดสินพระทัยอวตารลงไปปราบอสูร
โดยทรงพระดำริว่าควรไปจุติเป็นบุตรของ นางเทวากี (ธิดาองค์ที่เจ็ดของพระเจ้าเทวากา ลุงของพญากังสะ) กับ วสุเทวะ (Vasudeva)
พระวิษณุทรงถอนเส้นพระเกศาดำของพระองค์ และเส้นผมขาวของพญานาคอนันตะ (เศษะนาค) ส่งไปยังครรภ์ของนางเทวากี
เส้นผมขาวของเศษะนาคบังเกิดเป็นบุตรคนที่เจ็ด นามว่า “พลราม”
ส่วนเส้นพระเกศาดำของพระองค์บังเกิดเป็นบุตรคนที่แปด นามว่า “กฤษณะ”
พระกฤษณะวัยเด็ก
ย้อนเหตุการณ์ไปครั้งเมื่อมีงานแต่งงานระหว่างนางเทวากีกับวสุเทวะนั้น มีเสียงดังมาจากเบื้องบนเตือนพญากังสะว่า
พระองค์จะถูกประหารโดยบุตรของนางเทวากี พญากังสะจึงคิดสังหารนางเทวากี
แต่วสุเทวะสัญญาว่าจะนำลูกของตนที่เกิดกับนางเทวากีทั้งหมดมามอบให้พญากังสะ
เมื่อนางเทวากีคลอดบุตรหกคนแรกออกมา วสุเทวะก็รักษาสัญญาโดยนำมาให้กับพญากังสะ และถูกสังหารทั้งหมด
จนกระทั่งนางเทวากีใกล้จะให้กำเนิดบุตรคนที่เจ็ด ก็มีเสียงเตือนพญากังสะจากเบื้องบนเป็นครั้งที่สองว่า
ผู้ที่เกิดมาเป็นคนเลี้ยงโค จะเป็นผู้ประหารพระองค์ พญากังสะจึงออกคำสั่งให้สังหารคนเลี้ยงโคทุกคนที่พบ
ฝ่ายนันทะ (Nanda) คนเลี้ยงโคซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวสุเทวะตัดสินใจช่วยวสุเทว
โดยให้วสุเทวะส่งภรรยาอีกคนหนึ่ง คือ นางโรหินี (Rohini) ไปอยู่กับนันทะ จากนั้นพระวิษณุก็ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจสับเปลี่ยนเอาบุตรในครรภ์ของนางเทวากีไปใส่ในครรภ์ของนางโรหินีแทน
และถือกำเนิด พระพลราม โดยพญากังสะคิดว่าบุตรของนางเทวากีเสียชีวิตในครรภ์มารดาไปแล้ว
ส่วนบุตรคนที่แปด หรือ พระกฤษณะ นั้น วสุเทวะได้สับเปลี่ยนโดยนำเอาบุตรีของนันทะกับนางยโสดา (Yasoda) ไปมอบให้พญากังสะ
เมื่อพญากังสะรับมาก็ขว้างใส่ก้อนหิน แต่ปรากฎว่าทารกนั้นกลับกลายร่างเป็นเทพธิดาเหาะขึ้นไปบนฟ้า และกล่าวกับพญากังสะว่า
บัดนี้ผู้ที่จะสังหารพญากังสะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!!!

กฤษณะเติบโตท่ามกลางหมู่คนเลี้ยงโค
แค่เพียงในช่วงขวบปีแรกก็มีอสูรถึง 3 ตนพยายามทำร้ายพระองค์
ครั้งแรกเป็น อสูรปุตนะ (Putana) แปลงร่างเป็นหญิงสาวมาให้นมพระกฤษณะ โดยใส่ยาพิษไว้ในนม
แต่พระกฤษณะรู้ทัน จึงดูดนมจน อสูนปุตนะ สิ้นชีพ
ครั้งที่สองเป็น อสูรศักตาสูร (Saktasura) มีฤทธิ์สามารถบินได้
วางแผนจะใช้กำลังลากรถบรรทุกภาชนะเหยือกน้ำให้ไปทับร่างพระกฤษณะที่นอนหลับอยู่แต่ไม่สำเร็จ
ส่วนครั้งที่สามเป็น อสูรตรีนะวัตร (Trinavasta) แสดงฤทธิ์เป็นลมหมุน
หมายจะพัดร่างของพระกฤษณะให้ตกลงมาจากตักของนางยโสดา แต่ไม่บังเกิดผล
กลับถูกพระกฤษณะจับเหวี่ยงทุ่มใส่ก้อนหิน ทำให้พายุสงบลง
ชีวิตในวัยเด็กของพระกฤษณะต้องต่อสู้กับอสูรที่พญากังสะส่งมาหลายครั้ง เนื่องจากพญากังสะต้องการกำจัดเด็กที่มีพลังอำนาจสามารถสังหารตนได้ อสูรที่มาทำร้ายก็มี..
อสูรวัตสาสูร (Vatsasura) ปรากฎในร่างโค
อสูรบากาสูร (Bagasura) ปรากฎในร่างนกกระเรียนพยายามกลืนร่างพระกฤษณะ แต่ในที่สุดพระกฤษณะก็ปราบได้
อุกราสูร (Ugrasura) ปรากฎในร่างงู เข้ามากลืนร่างพระกฤษณะลงไปในท้อง แต่ในที่สุดพระกฤษณะก็ฉีกร่างอสูรออกมาได้
นอกจากนี้ พระกฤษณะก็ได้สังหาร อสูรเธนุกา (Dhenuka) และสั่งสอน นาคกาลิยะ (Kaliya) ให้สำนึกผิดด้วย

พระกฤษณะสู้กับนักมวยปล้ำ
 ส่วนพระพลรามผู้พี่ก็ได้ปราบอสูรต่างๆเช่น อสูรประลัมพ์ (Pra-lamba) ซึ่งเป็นอสูรที่ปรากฎในร่างคน เป็นต้น
ชีวิตในวัยหนุ่มของพระกฤษณะผ่านประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะการโน้มน้าวให้คนเลี้ยงโคเลิกเซ่นบวงสรวง พระอินทร์
โดยให้ไปบูชาภูเขาโควรรธนะแทน ทำให้พระอินทร์พิโรธ บันดาลให้เกิดพายุ ฝนตกหนักตลอดทั้งเจ็ดวันเพื่อเป็นการลงโทษ
แต่พระกฤษณะใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวยกภูเขาโควรรธนะขึ้นกำบังฝูงคนเลี้ยงโคเอาไว้
กระทั่งท้ายที่สุด พระอินทร์ได้ทรง ช้างไอราวตะ พร้อมกับ แม่วัวสุรภี ลงมาเคารพพระกฤษณะ
ในเรื่องความรัก เมื่อพระกฤษณะเติบโตเป็นหนุ่ม ก็เป็นที่หมายปองของเหล่า นางโคปี (ภรรยาคนเลี้ยงโค) ทั้งหลาย
วันหนึ่ง ขณะที่เหล่าโคปีกำลังอาบน้ำที่ แม่น้ำยมุนา และต่างขอพรให้ตนได้สมปรารถนาในรัก
พระกฤษณะได้มาขโมยเสื้อผ้าของพวกนางและหนีไปซ่อนอยู่บนต้นไม้ จากนั้นพระกฤษณะก็เรียกนางโคปีที่เปลือยกายให้ขึ้นจากน้ำ
เพื่อมารับเสื้อผ้าคืน เมื่อได้หยอกล้อเหล่าโคปีแล้ว พระกฤษณะก็สัญญาว่า พระองค์จะไปเต้นรำร่วมกับเหล่านางโคปีในฤดูใบไม้ร่วงครั้งหน้า
ครั้นถึงฤดูใบไม้ร่วงในคืนที่แสงจันทร์สว่างไสว พระกฤษณะได้เป่าขลุ่ยเรียกเหล่านางโคปีเหล่านั้นให้แอบหนีสามีที่กำลังหลับเข้ามาในป่า
จากนั้นก็ได้เต้นรำกัน นางโคปีทุกคนต่างรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนว่าตนได้เต้นรำกับพระกฤษณะในลักษณาการของคู่รัก
การเต้นรำนี้ยาวนานถึงหกเดือน จากนั้นทั้งหมดก็ได้ไปอาบน้ำที่แม่น้ำยมุนาร่วมกัน เมื่อนางโคปีกลับบ้านก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ในบรรดานางโคปีทั้งหมด มีหญิงคนหนึ่งที่ถือเป็นคู่รักคนสำคัญของพระกฤษณะ
นางมีนามว่า “ราธา” (พระแม่ราธาเทวี คู่รักพระกฤษณะ)
มีบทบรรยายถึงความรักระหว่างคนทั้งสองอยู่มากมาย
ฝ่ายพญากังสะยังไม่สิ้นความพยายามที่จะสังหารพระกฤษณะ ได้ส่ง อสูรสังกาสูร (Sankhasura)
เข้ามาทำร้ายนางโคปีที่มาอยู่กับพระกฤษณะและพระพลราม พระกฤษณะได้เข้าต่อสู้และตัดหัวของสังกาสูรได้สำเร็จ
ในคืนต่อมาก็มีอสูรวัวเข้ามาทำร้ายอีก ซึ่งก็ถูกพระกฤษณะจับหักคอจนสิ้นชีพ
โหราจารยฺ์ของพญากังสะทำนายว่า พระกฤษณธจะมาสังหารพญากังสะ พญากังสะจึงจับตัวนางเทวากีและวสุเทวะจองจำไว้
พร้อมกับวางแผนสังหารพระกฤษณะอีก โดยเชิญให้เข้ามาในเมืองมถุรา
และได้ส่งอสูรรูปม้าชื่อ "เกศิน" (Kesin) ไปลอบทำร้ายระหว่างทาง แต่ก็ถูกพระกฤษณะเอากำปั้นยัดใส่ปากจนสิ้นชีพ
นอกจากนี้ ยังส่งอสูรหมาป่าที่แปลงร่างเป็นขอทานมาทำร้าย แต่พระกฤษณะก็ล่วงรู้กลอุบายและปราบได้สำเร็จ
หลังจากนั้น พญากังสะได้ให้อำมาตย์เอกนาม อกุระ (Akrura) เชื้อเชิญพระกฤษณะเข้าไปในเมืองแต่อกุระเป็นผู้ที่ภักดีต่อพระกฤษณะ
จึงเล่าความจริงเกี่ยวกับแผนร้ายของพญากังสะว่า พญากังสะต้องการลวงพระกฤษณะไปสังหารในเมือง
พระกฤษณะและพลรามเดินทางเข้าไปในเมือง ทำลายธนูของศิวะ สังหารคนเฝ้าประตูเมือง จากนั้นปราบช้างกุวัลยปิยะ
และต่อสู้กับนักมวยปล้ำจาณูระและมุสติกะ ท้ายที่สุด พระกฤษณะได้ลากตัวพญากังสะลงมาจากบัลลังก์ และใช้กำปั้นทุบจนสิ้นชีพ
จากนั้นก็ได้มอบราชสมบัติคืนให้กษัตริย์อุครเสนตามเดิม โดยพระกฤษณะอาศัยอยู่กับนางเทวากีระยะหนึ่ง
พระกฤษณะได้ปราบอสูรอีกหลายครั้ง ในที่สุด พระองค์ก็ได้ออกไปหาทำเลสร้างเมืองใหม่
โดยให้พระวิศวกรรมเนรมิตเมืองให้เสร็จภายในคืนเดียว จากนั้นย้ายตระกูลยาฑพออกไปยังเมืองใหม่ นามว่า "ทวารกา"
เมื่อย้ายมาอยู่เมืองทวารกาแล้ว พระกฤษณะก็ออกเสาะแสวงหาชายาให้กับพระองค์เองและพระพลราม
พระพลรามได้แต่งงานกับ นางเรวาตี (Revati) ส่วนพระกฤษณะเข้าพิธีแต่งงานกับ นางรุกมินี (Rukmini)
แต่ก่อนหน้านั้น ก็ต้องต่อสู้กับ "รุกมา"และ "สีสุปาละ" พี่ชายของนางรุกมินี ซึ่งเป็นญาติของพระกฤษณะ และหมายปองนางรุกมินีเช่นกัน
หลังการแต่งงาน พระกฤษณะก็ยังต่อสู้กับอสูรอื่นๆ อีกมากมาย และได้ชายามาอีก 7 องค์ เช่น
นางชามภวาตี (Jambavati) บุตรีของชามภูวาล ผู้เป็นกษัตริย์แห่งหมี นางสัตยภามา (Satyabhama) ธิดาของสัตราชิต
นางกัลลินดิ (Kalindi) ธิดาของพระอาทิตย์ และชายาอีก 4 องค์จากการปราบปรามอสูรตนอื่นๆ
ภารกิจสำคัญอีกครั้งหนึ่งคือการปราบ นาระกะ (Naraka) ซึ่งเป็นกษัตริย์ของ ปักโยทิชา (Pragiyotisha)
นาระกะได้รับพรจากมหาเทพทั้งสามให้เป็นผู้ที่ไม่มีใครเสมอเทียมได้ สร้างเดือดร้อนแก่เหล่าเทวดา
ถึงขั้นไปยึดเอาตุ้มหูของนางอทิติ(ผู้เป็นมารดาของเหล่าเทพ)
จากนั้นก็ไปยึดเอามงกุฏของพระอินทร์มาสวมใส่และยึดนางอัปสร ๑๖,๐๐๐ องค์ไปจากสวรรค์
ท้ายที่สุดยังแปลงร่างเป็นช้างไปข่มขืนธิดาของ พระวิศวกรรม ด้วย
พระกฤษณะได้บุกไปยังเมืองของนาระกะ ปราบอสูรตนนี้ จากนั้นจึงนำสิ่งของที่ถูกยึดคืนกลับไปให้เจ้าของ
ส่วนนางอัปสรทั้งหมดนั้น พระองค์นำกลับไปยังเมืองทวารกา และแต่งงานกับทุกนาง (พระกฤษณะมีชายาทั้งหมด ๑๖,๑๐๘ นาง)
ความที่มีชายามากมายจึงเกิดเรื่องราวอยู่หลายครั้ง
เช่น ครั้งหนึ่งพระกฤษณะมอบดอกปาริชาต (ดอกไม้สวรรค์ที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร
พระอินทร์เป็นผู้ดูแลรักษาไว้ในเขตของสวรรค์ของพระองค์) แก่นางรุกมินี ปรากฎว่านางสัตยภามาก็ต้องการบ้าง
พระกฤษณะจึงบุกขึ้นไปบนสวรรค์ของพระอินทร์เกิดสู้รบกัน ในที่สุดพระกฤษณะนำต้นปาริชาตมาไว้ยังเมืองทวารกาได้สำเร็จ
แต่หลังจากนั้นหนึ่งปีก็คืนให้พระอินทร์นำไปปลูกไว้ที่เดิม
ในมหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ที่รู้จักกันในนาม “มหาภารตยุทธ” ซึ่งรจนาเป็นมหากาพย์ในชื่อ “มหากาพย์มหาภารตะ”
อันเป็นสงครามระหว่าง ตระกูลปาณฑพ กับ ตระกูลเการพ นั้น พระกฤษณะเป็นสารถีให้ ฝ่ายปาณฑพ และสอน ท้าวอรชุน
(หนึ่งในห้าของพี่น้องตระกูลปาณฑพ) ไว้ใน “ภัควัตคีตา” วรรณคดีอันมีชื่อเสียง
ท้ายที่สุดฝ่ายตระกูลปาณฑพก็มีชัยในสงครามครั้งนี้
เมื่อได้เวลาอันสมควร ก็ถึงกาลที่พระกฤษณะจะกลับไปยังไวกูณฐ์สถานของพระองค์
เหตุการณ์มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง หมู่กษัตริย์ยาฑพเมาสุรา ทะเลาะวิวาทปลงพระชนท์กันเอง พระกฤษณะพยายามห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล
พระองค์จึงหลบหนีเข้าไปในป่า บังเอิญขณะนั้น มีพรานป่าออกล่าสัตว์ พรานผู้นั้นสำคัญผิดว่า
พระกฤษณะเป็นสัตว์จึงยิงพระองค์ด้วยธนูถูกที่ "ข้อเท้า" อันเป็นจุดชีวิตของพระกฤษณะ จนสิ้นพระชนม์
ส่วนพระพลรามสิ้นพระชนม์ใกล้ชายฝั่งทะเล กลับไปเป็นเศษะนาคอันเป็นร่างเดิมและคืนกลับสู่เกษียรสมุทร
เมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระกฤษณะล่วงรู้ไปถึงในเมือง พระวสุเทวะ นางเทวากี ตลอดจนนางโรหินีก็สิ้นพระชนม์ตามไปด้วย
จากนั้นไม่นานก็เกิดน้ำท่วมใหญ่จนเมืองทวารกาจมหายไปในที่สุด

พระกฤษณะกับเหล่านางโคปี
 รูปเคารพพรกฤษณะค่อนข้างมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ทรงมีประวัติยาวนาน
จึงมีภาพสลักเรื่องราวแสดงเหตุการณ์สำคัญหลายตอน

พระกฤษณะในมหาภารตยุทธ


รูปเคารพของพระกฤษณะโดดเด่นคือ
จะมีโค พระกฤษณะจพทัดขนยูงที่ผมและทรงขลุ่ย


บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน รามาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน รามาวตาร



ชาตินี้มึงมีแต่สองหัตถ์  จงไปอุบัติเอาชาติใหม่
มีสิบเศียรสิบพักตร์เกรียงไกร  เหาะเหินเดินได้ในอัมพร
มียี่สิบกรทั้งซ้ายขวา ถือคทาอาวุธธนูศร
กูจะเป็นมนุษย์แต่สองกร  ตามไปราญรอนชีวิน
จากเรื่องรามเกียรติ บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

            ปางอวตารลำดับที่เจ็ดในอวตารทั้งสิบภาคใหญ่ของพระนารายณ์มีชื่อเรียกว่า รามาวตาร คืออวตารมาเป็นพระรามเพื่อสังหารท้าวราพณ์หรือทศกัณฐ์และโคตรวงศ์ที่ก่อกวนไตรโลก โดยมีเหตุแห่งการทำสงครามมากจากการที่ทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดาไป พระรามจึงต้องไปตามคืนมาเกิดเป็นสงครามนานกว่า 14 ปี คนไทยรู้จักเรื่องนี้ในชื่อว่า รามเกียรติ์ และคนอินเดียรู้จักในนาม รามายณะ ซึ่งเป็นมหากาพย์ใหญ่สรรเสริญพระคุณของพระรามและการสงครามอันยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งวรรณกรรมเอกของโลกที่แพร่หลายเเละเป็นที่รู้จักมากที่สุดด้วย ด้วยเรื่องราวนั้นยาวมากแต่จะขอตัดสั้นเริ่มที่...
           
อวตารครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกำจัด ท้าวราพณ์ หรือ ทศกัณฐ์ กษัตริย์แห่งกรุงลงกา ซึ่งมี ๑๐ เศียร อสูร ท้าวราพณ์บำเพ็ญตบะเช่นเดียวกับ เหรันตยักษ์ และ เหรัณยกศิปุ ที่บำเพ็ญตบะก็เพื่อความอมตะ เมื่อพบความเป็นอมตะ และประจบประแจง พระศิวะ จนท่านเมตตา มันก็เริ่มประหัตประหารเทพเจ้าและมนุษย์ พระวิษณุ จึงอวตารลงมาเป็นโอรสองค์โตของมหากษัตริย์ ทศรถ แห่งกรุงอโยธยา ซึ่งจัดพิธีบูชายัญม้าเป็นประจำ ทรงพระนามว่า พระราม มีพระอนุชาต่างมาดาคือ พระภรต พระลักษมณ์ และ พระศัตรุต กล่าวกันว่าพระอนุชาของพระองค์ทรงแบ่งรูปลักษณ์มาจากพระวิษณุด้วย


ท้าวราพณ์หรือทศกัณฐ์
 พระราม และ พระลักษณ์ ทรงสนิทสนมกันมาก และได้ฆ่าอสูรที่ฆ่าพราหมณ์ไปเป็นจำนวนมาก วันหนึ่งขณะทรงพระเยาว์ ทั้งสองพระองค์ได้ยินข่าวว่า นางสีดา ธิดาแสนสวยของ กษัตริย์ชนก จะอภิเศกกับผู้ที่สามารถโก่งคันศรของพระศิวะได้ พระรามโก่งคันศรได้ และได้อภิเษกกับนางสีดา ซึ่งก็คือ พระลักษมี อวตารลงมานั่นเอง หลังจากทรงอภิเษกได้ไม่นาน พระทศรถก็สละราชสมบัติ และได้ประกาศนามของผู้ที่จะมารับตำแหน่งใหม่ ในเวลาเดียวกันขณะที่พระภรตไม่อยู่นั้น บริวารของ พระมเหสีไกยเกษี (Kaikeyi) ผู้เป็นพระมารดาของภรต ก็กล่าวให้ร้ายพระราม ทำให้พระนางไม่พอพระทัยพระราม ทรงเป็นที่รักใคร่มากกว่า จึงทรงยุยงและบังคับให้พระทศรถ ยอมยกราชสมบัติทั้งหมดให้ภรต ทั้งยังเนรเทศพระรามออกไปอยู่ป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี โดยมีนางสีดา และพระลักษณ์คอยติดตามพระรามไปด้วย ประชาชนและภรตต่างเศร้าโศกกับการจากไปของพระรามมาก จนพระทศรถ ทรงเสด็จสวรรคตในอีก ๑ สัปดาห์ต่อมา

หนุมานทหารเอกของพระราม
สัญลักษณ์ของความกล้าและซื่อสัตย์

เมื่อ พระภรต ทรงเสด็จกลับมาและทราบข่าว พระองค์ทรงพิโรธพระมารดามาก ทรงเสด็จออกตามหาพระรามเพื่อเชิญเสด็จกลับวัง แต่พระรามไม่ทรงกลับ พระภรตจึงเสด็จกลับเมืองอโยธยา และครองราชสมบัติแทน โดยมี พระบาท ของพระรามอยู่บนราชบัลลังก์ เป็นเครื่องหมายแสดงถึงกษัตริย์ที่มีสิทธิ์อันชอบธรรม

ในช่วงที่อยู่ในป่านางยักษี ผู้เป็นขนิษฐาของท้าวราพณ์ได้หลงรักพระราม แต่พระรามทรงอภิเษกแล้ว จึงให้นางไปสนพระทัยพระลักษมณ์ซึ่งยังไม่อภิเษกดีกว่า แต่พระลักษมณ์ก็ผลักไสนาง นางจึงสงสัยว่าพระลักษณ์คงแอบหลงรักนางสีดาอยู่ นางยักษีจึงทำร้ายนางสีดา และพยายามจะกินนางสีดา แต่พระลักษมณ์มาช่วยไว้ได้ทัน โดยทรงตัดจมูก หู และอกของนางยักษี

นางจึงส่งอนุชาพร้อมกองทัพยักษี ๑๔,๐๐๐ ตนมาล้างแค้น แต่พระรามก็เอาชนะได้ นางจึงไปยุยงให้ท้าวราพณ์ว่านางสีดางดงามมาก และเหมาะสมกับท้าวราพณ์ ท้าวราพณ์จึงลักพาตัวนางไปโดยส่งกวางไปล่อ นางสีดาอยากได้กวาง พระราม พระลักษณ์จึงออกไปจับกวาง จากนั้นท้าวราพณ์ในรูปของฤาษีก็จับนางขึ้นรถ เหาะไปยังกรุงลงการะหว่างทาง นกชฎายุ หรือร่างอวตารของ พญาครุฑ พาหนะของพระวิษณุ ได้ต่อสู้กับอสูรราพณ์แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ ชฎายุจึงพาร่างจวนเจียนจะสิ้นใจกลับมาส่งข่าวแก่พระราม เมื่อมาถึงกรุงลงกา ท้าวราพณ์พยายามเกี้ยวพาราสีนางสีดา แต่นางก็ไม่ใจอ่อน ท้าวราพณ์จึงบังคับให้นางอภิเษกด้วย ถ้านางไม่ยินยอมจะฆ่าและกินนางเสีย แต่นางสีดาก็รอดมาได้ เนื่องมาจากหนึ่งในบรรดาชายาของท้าวราพณ์ ที่ถูกฉุดคร่า มาสาปแช่งว่า ท้าวราพณ์จะต้องตายถ้าฉุดคร่าหญิงอื่นอีก

พระรามทราบข่าวนางสีดาจากนกชฎายุ แล้วทำการปลงศพให้นกชฎายุ จากนั้นก็รีบตามไป ระหว่างทางพบกับ สุครีพ โอรสของพระอินทร์ ซึ่งถูก พาลี พระเชษฐาร่วมพระมารดา เนรเทศออกมาจากอาณาจักรของตน สุครีพ จึงตอบแทนความช่วยเหลือที่ช่วยรบจนได้อาณาจักรคืนมา โดยส่งกองทัพลิงและหมีไปช่วยพระรามและพระลักษณ์ ซึ่งมีหนุมานโอรสของพระวายุเป็นแม่ทัพเดินทางไปกรุงลงกา
หนุมานเหาะข้ามทะเล และลอบเข้ากรุงลงกาเพื่อสอดแนม ขณะนั้นนางสีดา นั้งอยู่ในสวนแต่เพียงลำพัง หนุมานได้แสดงแหวนจารึกพระนามของพระรามเป็นหลักฐาน และบอกแผนการแก่นาง แต่ด้วยความลิงโลดที่ลอบเข้ามาได้ หนุมานก็ดึงต้นไม้ในสวนเล่น ทำให้ถูกจับได้ และถูกส่งไปให้ท้าวราพณ์ ยักษาสั่งให้เผาหางหนุมานโดยผ้าชุบน้ำมันผูกที่หาง แต่หนุมานใช้จังหวะที่ถูกเผาหางอยู่นี้ กระโดดหนีออกมาได้ และไฟจากหางนี่เองทำให้เกิดไฟไหม้กรุงลงกา
หนุมานกลับมาส่งข่าวต่อพระรามว่า ท้าวราพณ์มีป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสร้างโดยพระวิศวกรรมให้แก่กุเวร เจ้าแห่งความมั่นคง เมืองมีอาณาเขตกว้างขวางส่วนมากสร้างด้วยทอง ล้อมรอบด้วยคูเมืองกว้างและกำแพงนี้สร้างด้วยหินและโลหะ ซึ่งมาจากยอดเขาพระสุเมรุ ในระหว่างที่หนุมานเข้าไปในกรุงลงกา พลพรรคของพระรามได้ช่วยกันสร้างสะพานกัน และแล้วเสร็จเมื่อหนุมานกลับมา แม้จะมีอสูรจากใต้ทะเลมาก่อกวนก็ตาม หัวหน้าช่างที่สร้างสะพานคือหัวหน้าลิงชื่อ นล โอรสของพระวิศวกรรม ซึ่งมีพลังทำให้ก้อนหินลอยบนน้ำได้ บางครั้งสะพานนี้ได้รับการเรียกว่า นลเสตุ (สะพานของนล) แต่ปกติจะมีชื่อว่า สะพานของพระราม

เมื่อพระรามและกองทัพข้ามไปได้ ศึกครั้งยิ่งใหญ่ก็เริ่มตรงทางเข้าเมือง พระลักษณ์ถูกโอรสของท้าวราพณ์นามว่า อินทรชิต ทำร้าย แต่หนุมาน ก็ใช้สมุนไพรที่หาได้บน เทือกเขาหิมาลัย มารักษา ในระหว่างนั้นพระอนุชาของท้าวราพณ์ได้กินลิงเป็นร้อยตัวเข้าไป แต่ในที่สุดแล้ว พวกยักษ์ ก็ถูกฆ่าจนหมด การต่อสู้ของพระราม และอสูรราพณ์ก็จบลง โดยในครั้งแรกพระราม ยิงศรใส่ท้าวราพณ์ แต่ยิงไม่เข้า พระรามจึงใช้อาวุธวิเศษที่ได้รับจากฤาษีอกัสยตะ ซึ่งเป็นนักพรตที่มีชื่อเสียงและเป็นศัตรูของพวกยักษ์ กล่าวกันว่าอาวุธนี้เป็นแหล่งรวมพลังของบรรดาเทพเจ้าไว้ และรู้จักกันดีในฐานะเป็นอาวุธของพระพรหม ขว้างออกไปตัดอกของท้าวราพณ์ เหล่าเทวดาพากันโปรยมาลัยดอกไม้ลงมาอวยพรในชัยชนะของพระราม และกองทัพลิงที่เสียชีวิตก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

แม้พระรามจะพบนางสีดาอีกครั้ง แต่พระองค์ก็เย็นชากับนาง เนื่องจากพระรามไม่ทรงเชื่อว่านางสีดา จะยังคงภักดีกับพระองค์อยู่ นางสีดาจึงลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของนาง เมื่อนางลุยไฟ ท้องฟ้าได้ประกาศว่านางบริสุทธิ์ และพระอัคนีเทพแห่งไฟ ได้นำนางไปประทับต่อเบื้องพระพักตร์ของพระราม ซึ่งยอมรับในตัวนางแล้ว จริงๆแล้วพระรามไม่เคยสงสัยในตัวนาง เพียงแต่ประสงค์จะให้นางทดสอบต่อหน้าธารกำนัลเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน ปรศุรามวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน ปรศุรามวตาร

ฉภาคพระบรมเทพนาถา อวตารแบ่งภาคเป็นปรศุราม
ทรงขวานเพชรสังหารล่าแค้นแทนมารดา พระอรชุนกษัตราผู้หยาบคาย
ด้วยความแค้นเคียดจิตพิศวง ไม่ยอใกลับไปรวมภาคบนสวรรค์
ตามไล่ล่าสังหารสุริยวงศ์กษัตริย์ จนพราหมณ์ต้องโยนิช่วยเผ่ากษัตริย์เอย

         ปางอวตารที่ 6 ของพระนารายณ์คือปรศุรามวตาร ทรงอวตารมาเป็นพราหมร์ถือขวานเพชรเพื่อสังหารพระอรชุนหรือพญากรรติเกร์ กษัตริย์มนุษย์ผู้หยาบช้า แต่ภาคนี้มีความพิเศษและดูไม่น่าจะมาเป็นภาคอวตารของพระนารายณ์ได้เพราะปรศุรามอุดมไปด้วยความแค้น ผิดกับปางอวตารอื่นๆทั้งเมื่อเสร็จภารกิจก็ไม่ยอมกลับไปรวมภาคกับพระนารายร์ เรียกว่าดื้อรั้นความความคิดเป็นของตนมากยังอยู่บนโลกและไล่ล่าสังหารเหล่ากษัตริย์จนเกือบหมดทำให้นางกษัตริย์หมายต้องมาร้องขอให้เหล่าพราหมณ์ช่วยเหลือบังเกิดประเพณีโยนินั้นเอง โดยเรื่องมีดังนี้
        แคว้นกานยสุภชะ มีพระราชาพระองค์หนึ่งนาม คาธิราชนรินทร์ มีพระธิดาสวยงามมากมีพระนามว่า สัตยวดี วันหนึ่งฤาษีเฒ่าอยู่ตนหนึ่งชื่อ ฤจิก ได้มาสู่ขอ ซึ่งนางสัตยวดีได้ตอบตกลง แต่พระราชาทรงไม่ยอม ได้ตั้งเงื่อนไขว่า ให้ฤาษีฤจิกไปนำม้าขาวที่มีหูเป็นสีดำหนึ่งพันตัวมาเป็นสินสอด ฤาษีฤจิกจึงบวงสรวงพระวรุณเทพเจ้าแห่งน้ำและขอประทานม้าขาวที่มีหูเป็นสีดำหนึ่งพันตัวซึ่งพระวรุณก็ประทานให้ ฤาษีฤจิกจึงได้อภิเษกกับนางสัตยวดีและกลับเข้าป่าไปวันหนึ่งนางสัตยวดีต้องการมีบุตร ฤาษีจึงกวนข้าวทิพย์ขึ้นมาสองจาน จานหนึ่งให้นางสัตยวดีทานซึ่งจะให้กำเนิดบุตรชายที่มีใจกุศล รักสันโดษ เพื่อมาเป็นพราหมณ์ที่มีศีลธรรม อีกจานหนึ่งให้พระมารดาของนางสัตยวดีซึ่งจะให้กำเนิดบุตรชายที่มีฤทธิ์เดช จิตใจกล้าหาญ และมีอำนาจ เมื่อฤาษีเข้าไปบำเพ็ญตบะ พระมารดาจึงบอกให้สลับจานข้าวทิพย์เพราะพระมารดาต้องการให้พระธิดาไม่ต้องอับอายที่มีลูกเป็นพราหมณ์ทั้งที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์มาก่อน แต่พระมารดามีบุตรชายที่มีความสามารถอยู่แล้วจึงไม่เป็นอะไรที่จะให้กำเนิดลูกชายอีกองค์เป็นพราหมณ์ เมื่อได้ฟังนางสัตยวดีจึงยอมเปลี่ยนจานข้าว เมื่อฤาษีฤจิกกลับมาทราบเรื่องก็โกรธที่นางสัตยวดีไม่ทำตามที่สั่ง จนนางสัตยวดีต้องไปกราบขอโทษ ฤาษีฤจิกทำพิธีกรรมให้กลับเป็นอย่างเดิมที่ตนตั้งใจไว้ตั้งแต่คราวแรก และเลื่อนให้การมีบุตรที่มีฤทธิ์เดชเกิดในคราวหลานไปต่อมานางสัตยวดีก็ให้กำเนิดบุตรชายรูปงามชื่อว่า ชมทัคคี ซึ่งได้บวชเป็นพราหมณ์และถือว่าเป็นยอดแห่งพราหมณ์ และได้ไปสู่ขอนางเรณุกาจากพระเจ้าปเสนชิต และได้มีบุตรชายด้วยกันห้าคน ซึ่งคนสุดท้ายมีชื่อว่ารามหรือรามฤทธิรุทรซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตารลงมา รามเป็นที่ชื่นชอบของพระศิวะ พระศิวะจึงประทานขวานเพชรให้จึงทำให้เปลี่ยนชื่อเป็น ปรศุรามวันหนึ่งขณะที่ฤาษีชมทัคคีเข้าป่าหาผลไม้ นางเรณุกาเดินไปเพื่ออาบน้ำที่ลำธารตามปกติ นางเรณุกาก็ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากลำธาร นางเรณุกาจึงแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ ซึ่งนั่นคือเสียงของพระราชาจิตรสแห่งเมืองมฤติกาวดีกับพระมเหสีกำลังพลอดรักกันอยู่ในลำธาร นางเรณุกาจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนเองนั้นทั้งที่เป็นธิดากษัตริย์แต่กลับต้องทำงานเยี่ยงบ่าวไพร่ และไม่มีเวลาได้อยู่กับฤาษีชมทัคคี จึงได้กระโดดลงน้ำเพื่อให้กายเย็นลงแต่ใจนั้นยังร้อนรุ่ม ต่อมานางเรณุกาได้กลับมาที่อาศรมแต่เกิดอาการกระวนกระวายนึกถึงแต่ภาพที่เห็นของพระราชาจิตรสกับพระมเหสีเมื่อฤาษีชมทัคคีกลับมาจากป่าเห็นนางเรณุกาผิดแปลกไปจากปกติจึงเอ่ยถาม นางเรณุกาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง จึงทำให้ฤาษีชมทัคคีโกรธว่าทำไมนางเรณุกาถึงมีจิตใจลามกชั่วช้าเช่นนี้ และได้สั่งให้บุตรชายคนโตรุวัณวัตสังหารนางเรณุกาเสีย แต่รุวัณวัตไม่สามารถทำได้ ฤาษีชมทัคคีจึงสั่งบุตรชายคนที่สองไปจนกึงคนที่สี่แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้ ฤาษีจึงโกรธมากและสาปให้ คนหนึ่งเป็นคนโง่ คนหนึ่งเป็นคนบ้า คนหนึ่งเป็นคนเสียสติ คนหนึ่งเป็นคนวิกลจริต ในขณะนั้นปศุรามกลับมาที่อาศรมพอดี ฤาษีชมทัคคีจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังและสั่งให้ปรศุรามสังหารมารดาเสีย ปรศุรามไม่อยากสังหารมารดาแต่ก็ไม่อยากขัดคำสั่งพ่อ และไม่อยากเป็นเช่นพี่ชายทั้งสี่คน จึงก้มลงกราบลงที่เท้าของนางเรณุกาและนำขวานเพชรฟันพระศอของนางขาดกระเด็นเมื่อสังหารนางเรณุกาแล้ว ฤาษีชมทัคคีได้ชื่นชมปรศุรามและได้ให้พรสามประการ ปรศุรามจึงขอพรดังนี้ หนึ่งขอให้นางเรณุกาฟื้น สองขอให้พี่ชายทั้งสี่กลับมาเป็นคนปกติ สามขอให้ตนเองมีฤทธิ์เดช อายุยืน มีเกียรติแบบพราหมณ์ ซึ่งฤาษีชมทัคคีก็ประทานพรให้ และทั้งหมดก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตัดมาทางนครมหิษบดีปุระ มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีชื่อว่า อรชุน ซึ่งเป็นพระโอรสของท้าวปิตวีระ ท้าวอรชุนนั้นจึงมีฉายาว่า การตวีรยะ ท้าวอรชุนนั้นได้ร่ำเรียนกับพระฤาษีทัตตไตย และเป็นที่โปรดปราณของพระฤาษี ฤาษีทัตตไตยจึงประทานพร ขออะไรก็จะให้ ท้าวอรชุนจึงขอพรดังนี้ หนึ่งขอให้มีแขนพันแขน มือพันมือ สองมีรถบุษบกทองสามารถลอยล่องไปได้ทุกที่ สามมีอำนาจในการปราบทุจริต สี่เป็นพระราชาชนะหรือเป็นผู้มีอำนาจในสากลพิภพรบที่ไหนชนะที่นั่น ห้ามีจิตใจรู้รับผิดชอบชั่วดีปกครองโดยธรรม หกรบกับใครขอให้ชนะ และข้อสุดท้าย เจ็ดถ้าจะตายขอให้ตายด้วยมือของผู้มีเกียรติทั่วโลก ซึ่งพระฤาษีก็ประทานพรให้ตามนั้นท้าวอรชุนปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุข นครมหิษบดีปุระในยุคสมัยของอรชุนนั้นอยู่ยืนยาวถึงแปดพันห้าร้อยปี และเมื่อมีสงครามก็ชนะทุกครั้งไป จนไปเข้าหูของท้าวราพนาสูรหรือทศกัณฐ์ซึ่งครองกรุงลงกา จึงเกิดความไม่พอใจอิจฉาริษยา จึงจัดทัพจากกรุงลงกาไปท้ารบถึงนครมหิษบดีปุระ แต่ท้าวอรชุนไม่อยู่ในเมือง ท้าวราพนาสูรจึงยกทัพตามไป จนใกล้จะถึงจุดหมายท้าราพนาสูรจึงจัดการทำพิธีกองไฟบูชาพระศิวะเพื่อให้ได้ชัยชนะในการรบ ขณะที่ท้าวอรชุนซึ่งไม่รู้ว่าท้าวราพนาสูรได้ยกทัพมา จึงชวนนางสนมกำนัลไปเล่นน้ำในแม่น้ำ และหยอกล้อกันโดยการนำมือหนึ่งพันมือมาทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำไม่ให้ไหล น้ำที่ถูกกั้นจึงเอ่อล้นสู่ผืนดินและไปพัดทำลายสิ่งของที่ท้าวราพนาสูรทำพิธีไปจนหมด ท้าวราพนาสูรจึงโกรธมากและยกทัพไปจัดการทัพของท้างอรชุนซึ่งไม่ได้จัดเตรียมการรบมาก่อน จึงทำให้แพ้ถอยร่นไปจนถึงลำธารที่ท้าวอรชุนเล่นน้ำอยู่ เมื่อทราบเรื่องท้าวอรชุนจึงจับกระบองขึ้นไล่ฟาดฟันกองทัพของท้าวราพนาสูรไปจนถึงราชรถของท้าวราพนาสูร จึงตรัสว่า มารบกันตัวต่อตัวจะเป็นการดีเสียกว่าการรบที่ทำให้เสียไพร่พลไปโดยเปล่าประโยชน์ ท้าวราพนาสูรจึงตกลงและพ่ายแพ้ไปในที่สุด ท้าวอรชุนจึงจับท้าวราพนาสูรมัดขาไว้กับรถแล้วขับรถลากประจานไปทั่วเมือง และนำไปผูกกับเสาประจาน สร้างความอับอายให้กับท้าวราพนาสูรเป็นอย่างมาก ร้อนไปถึงฤาษีนาถมุนี ฤาษีนาถมุนีจึงไปหาฤาษีเปาสัตยะให้ช่วยไปขอโทษท้าวอรชุน จนท้าวอรชุนอ่อนใจให้เสนาอำหมาตไปปล่อยตัวท้าวราพนาสูรและให้นำตัวมาพบ ท้าวราพนาสูรเมื่อได้เจอท้าวอรชุนจึงก้มลงกราบด้วยความอายและรู้สึกเป็นคุณที่ได้รับการให้อภัย ท้าวอรชุนให้อภัยท้าวราพนาสูร และตกลงที่จะสาบานเป็นพี่น้องกันต่อหน้าฤาษีเปาสัตยะท้าวอรชุนเมื่อปราบท้าวราพนาสูรได้ทุกคนก็ต่างนับถือให้ความเคารพมากยิ่งขึ้น เมื่อมีเรื่องอะไรกันก็จะให้ท้าวอรชุนตัดสิน บรรดาวรรณะกษัตริย์ก็ยอมอยู่ใต้พระบารมีของท้าวอรชุน เวลาที่วรรณะกษัตริย์มีเหตุกับวรรณะพราหมณ์ก็ให้ท้าวอรชุนช่วย ซึ่งท้าวอรชุนก็จัดการกับพราหมณ์ฤาษี จนพราหมณ์พ่ายแพ้ไปเสียทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่พราหมณ์ที่ดีมีคุณธรรม บรรดาพราหมณ์จึงรวมกันไปเข้าเฝ้าพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเป็นปรศุรามครั้งหนึ่งท้าวอรชุนได้ไปมีเรื่องกับฤาษีวสฤษ จึงยกทัพไปล้อมอาศรม แต่เนื่องจากฤาษีวสฤษนั้นมีโควิเศษคือโคสุรพีซึ่งได้มาจากการกวนเกษียณสมุทร ฤาษีวสฤษจึงให้โคสุรพีนิรมิตกองทัพมาสู้รบจนท้าวอรชุนพ่ายแพ้ไปท้าวอรชุนเมื่อได้รับความพ่ายแพ้จึงหนีเข้าป่าล่าสัตว์ไปเรื่อย จนได้พบอาศรมของฤาษีชมทัคคี ซึ่งในขณะนั้นนางเรณุกาอยู่แต่เพียงผู้เดียว ได้เชื้อเชิญต้อนรับท้าวอรชุนอย่างดี และได้เรียกโควิเศษซึ่งเป็นโคสุรพีเช่นเดียวกับโคของฤาษีวสฤษ และให้โคสุรพีเสกน้ำอาหารมาถวายท้าวอรชุนและผู้ติดตาม ท้าวอรชุนเมื่อเห็นโคสุรพีจึงเกิดความโลภและได้เอ่ยปากขอ แต่นางเรณุกาไม่ให้ เพราะถ้าไม่มีโคก็จะไม่มีอาหารทาน แต่ท้าวอรชุนมีสมบัติมากมายอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องการโคสุรพี ท้าวอรชุนจึงเอ่ยปากขอลูกโคแทน แต่นางเรณุกาไม่ต้องการให้พรากลูกโคออกจากแม่โคจึงไม่อนุญาต ท้าวอรชุนไม่ยอมจึงแสดงความไม่พอใจด้วยการตัดต้นไม้รอบๆอาศรมทิ้งและจับลูกโคสุรพีไป แล้วตรัสว่าใครมาขัดขวางจะลงโทษ แล้วยกทัพออกจากอาศรมกลับเมืองเมื่อฤาษีชมทัคคีกลับมาที่อาศรมเห็นต้นไม้ถูกตัดออกไปจึงถามนางเรณุกา ซึ่งนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังและบอกให้แก้แค้น แต่ฤาษีกลับไม่เอาเรื่องและพูดปลอบ นางเรณุกาจึงไปบอกกับปรศุรามให้แก้แค้นเมื่อปรศุรามได้ฟังก็โกรธแค้นมาก จึงนำขวานเพชนและธนูคู่มือติดตามไปจนเจอท้าวอรชุนและต่อว่า ท้าสู้กันตัวต่อตัว ท้าวอรชุนนั้นตอบตกลงโดยไม่กลัวเกรง ปรศุรามยิงศรไปศรหนึ่งแขนพันแขนของท้าวอรชุนก็เหลือสองแขน แล้วใช้ขวานเพชรซึ่งไม่มีอำนาจใดมาหักล้างได้เพราะพระศิวะประทานให้ตัวพระศอท้าวอรชุนขาดกระเด็นจนท้าวอรชุนสวรรคตปรศุรามได้กลับอาศรม และเล่าเรื่องให้ฤาษีชมทัคคีฟัง แต่ฤาษีชมทัคคีกลับรู้สึกไม่ดีและได้กล่าวสั่งสอนว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไปก่อเวรแบบนี้น่ะไม่ดีเลย แต่ปรศุรามกลับตอบว่า ใครที่มาก่อเวรจะให้ลองรสขวาน ไม่กลัวหรอกเมื่อท้าวอรชุนสวรรคต บรรดาโอรสของท้าวอรชุนต่างโกรธแค้นเป็นอันมากและได้ยกทัพไปที่อาศรมของฤาษีชมทัคคี ซึ่งฤาษีชมทัคคีก็ได้ออกมาต้อนรับ อริชาโอรสคนโตของท้าวอรชุนจึงเอ่ยถามว่า ลูกของเจ้า นี่ชื่อรามฤทธิรุทรใช่หรือไม่ ฤาษีชมทัคคีจึงตอบว่า ใช่ อริชาจึงเอ่ยต่อว่า ลูกของเจ้าไปฆ่าพระบิดาของข้า เพราะฉะนั้นข้าก็จะฆ่าพ่อของรามฤทธิรุทรให้ตายเป็นการแก้แค้น เมื่อฤาษีชมทัคคีได้ฟังก็ได้ร้องขอชีวิตแต่หาได้เป็นผลไม่ อริชาได้สังหารฤาษีชมทัคคีและทิ้งศพไว้หน้าอาศรมนั้นเมื่อปรศุรามกลับมาที่อาศรมเห็นศพของฤาษีชมทัคคีก็ร้องไห้เสียใจแล้วตัดพ้อว่า ฤาษีผู้เป็นพ่อนี้ทำแต่ความดี ทำไมถึงมาเสียชีวิตเพราะคนพาลสันดานหยาบแบบนี้ และได้สาบานว่าจะฆ่าเผ่าพันธุ์กษัตริย์ทั้งหมดหลังจากนั้นปรศุรามก็สังหารวงศ์ของท้าวอรชุนจนสิ้นและสังหารกษัตริย์รวมไปถึงพระโอรสยกเว้นพระธิดา มเหสีของเมืองทุกเมืองจนสิ้น ครบอายุคือยี่สิบเอ็ดพรรษา ซึ่งหมายความว่าปรศุรามได้สังหารวงศ์กษัตริย์ไปถึงยี่สิบเอ็ดครั้ง เมื่อแก้แค้นสำเร็จปรศุรามจึงไปบำเพ็ญตบะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกบรรดาธิดา มเหสี เห็นว่าไม่มีเมืองไหนที่มีกษัตริย์ครองเมือง ด้วยกลัวว่าจะสิ้นราชวงศ์วรรณะกษัตริย์ จึงไปขอร้องบรรดาพราหมณ์ให้ช่วยทำพิธีนิโยค เพื่อไม่ใช้วรรณะกษัตริย์สูญสิ้น บรรดาพราหมณ์เห็นว่าแผ่นดินควรมีทั้ง วรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูตร จึงได้ทำพิธีนิโยคขึ้น วรรณะพราหมณ์จึงเป็นผู้ให้กำเนิดวรรณะกษัตริย์ครั้งหนึ่งหลังจากที่ปรศุรามละจากทางโลกแล้ว ปรศุรามนั้นได้ไปเข้าเฝ้าพระศิวะ แต่พระพิฆเนศซึ่งเป็นพระโอรสของพระศิวะไม่ให้เข้าพบ ปรศุรามจึงโกรธขว้างขวานเพชรใส่พระพิฆเนศ พระพิฆเนศจึงใช้งาข้างหนึ่งรับ และเป็นเหตุให้เสียงาไป

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน วามนาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน วามนาวตาร

อันจะกล่าวถึงท้าวพลีอสุราช เอารสท่านประหลาดกุมารศรี
หยาบช้าพาลหมายครอบครองจักรวาล บุกทำลายยึดครองทั้งไตรภพ
พระวิษณุเทพเสด็จอวตาร เป็นพราหมณ์เตี้ยพิกลพิการไน้เภทภัย
หลอกของแผ่นดินสามย่างก้าว ท้ามพลีหลงการสิ้นเดชานุภาพาล

       ปางอวตารที่ห้าของพระนารายณ์คือ วามนาวตาร ทรงอวตารมาเป็นพราหมณ์เตี้ยหรือคนแคระตัวเล็กบุตรของพระกัศปเทพบิดรและพระอทิติเทพมารดร เพื่อปราบท้าวพลีบุตรประหลาดกุมารที่ยกพลอสูรยึกครองสวรรค์ โลกมุนาญ์และบาดาลไว้สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ด้วยกุศโลบายที่เรียบง่ายและเป็นที่มาของวลีที่ว่า "ย่างสามขุม"
        ประหลาดกุมารปกครองอสูรด้วยธรรมะตามบัญชาแห่งพระนารายณ์หลังจากที่ประหลาดกุมารสิ้นชีพไปบุตรชายคือท้าวพลีได้ครองราชย์ปกครองอสูรอยู่ ปรากฏว่าท้าวพลีมิได้เลือดของพ่อมาแต่น้อยกลับได้ของปู้คือหิรัณกศิปุมาเต็มๆ และคำนึงถึงความยิ่งใหญ่แต่หนหลังของปู่จนจึงคิดทวงคืนแผ่นดินจากพระอินทร์อีกครั้ง จึงยกทัพอสูรเข้าต้องสู้ด้วยพลังกำลังและความเคียดแค้นที่เต็มอก พระอินทร์จึงสู้ไม่ได้ต้องยกพลอพยพเทวดาไปอยู่ยังเชิงเขาที่พำนักของพระกัศปมุนีและพระนางอทิติ และสวดมนต์ขอให้พระนารายณ์ช่วย พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเกิดเป็นบุตรของพระกัศปมุนีและพระนางอทิติ โดยเกิดมามีรูปร่างพิกลพิการในสายตาคนทั่วไปคือเป็นคนแคระ พระกัศปมุนีให้ชื่อว่า วามน
        วามนรำเรียนศิลปศาสตร์ไตรเพทจนครบถ้วนแล้วจึงบวชเป็นพราหมณ์ ในเวลานั้นท้าวพลีซึ่งครอบครองสามโลกได้สำเร็จก็ทำพิธียัญบูชาใหญ่ถวายแด่หิรัญกศิปุและยกตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า จึงได้มีการเชิญพราหมณ์จากทั่วทุกหัวระแหงมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งวามนพราหมณ์เตี้ย ในพิธีดังกล่าวกษัตริย์จะต้องถวายปัจจัยแก่พราหมาณ์ทีเชิญตามแต่พราหมณ์จะขอ ซึ่งเป็นการแสดงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์อย่างท้าวพลี พราหมณ์คนอื่นก็ขอเล็กๆน้อยๆเพราะเกรงกลัวโทสะของท้าวพลี พอมาถึงวามนพราหมณ์เตี้ย ท้าวพลีก็เกิดเอ็นดูในความน่ารักบนแปลกประหลาดจึงถวายพรแก่วามน ว่า
        "ท่านปรารถนาสิ่งใหญ่พราหมณ์ จงแจ้งแถลงไข"
        "ท้าวพลีผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าเตี้ยแคระพิกลพิการมิปรารถนาสิ่งใดของเพื่อแผ่นดินสามย่างก้าวเป็นที่อยู่อาศัยไม่มีใครมารบกวนก็เพียงพอ" ท้าวพลีก้มดูขาวามนที่สั้นก็เกิดความคิดว่าแผ่นดินสามย่างก้าวจักเท่าใดกัน จึงประทานให้และยกคนโทนำและหลั่งทักษิโณทกใส่มือพราหมณ์ ตอนนั้นพระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ของเหล่าอสูรเห็นภาพวามนมีสี่กรถือสังข์กับจักรก็รู้ทันทีว่าเป็นพระนารายณ์อวตารมาและเห็นว่าท้าวพลีกำลังจะหลงกลจึงหายตัวไปอดุปากพวนคนโทไม่ให้นำออกมา ท้าวพลีทั้งเททั้งเขย่าก็ไม่ออก วามนก็รู้ด้วยญาณว่าเป็นฝีมือพระศุกร์จึงเอาหญ้าคาเเทงเข้าไปถูกตาพระศุกร์บอด พระศุกร์ทนไม่ไว้ต้องรีบหายตัวไปยังที่พำนักของตน พอท้าวพลีเทน้ำลงมือวามนเรียบร้อย ทันใดนั้นวามนก็สำแดงฤทธิ์กลายร่างเป็นพระนารายญ์ สี่กรตัวสูงใหญ่สุดขอบจักรวาลก้าวขาครั้งที่หนึ่งก็เอาสวรรค์ไว้ทั้งหมด ก้าวขาครั้งที่สองก็เอาโลกมนุษย์ไว้ทั้งหมด และกำลังก้าวขาครั้งที่สามเพื่อเอาบาดาลไว้ทั้งหมด ท้าวพลีเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงและนึกถึงคำสอนขอบิดาว่าไม่มีผู้ใดในไตรภพจะสามารถต้านทานอำนาจของพระนารายณ์ได้ จึงคุกเข่ากราบของอภัยและสำนึกผิดในบาปที่ตนก่อน พระนารายณ์กลายร่างกลับมาเป็นวามนพรามหณ์แคระ และเอาเท้าเหยียบหัวเป็นการลงโทษและมีบัญชาให้ท้าวพลีไปปกครองบาดาลชั้นที่ลึกที่สุดสำนึกผิดอยู่ที่นั้นชั่วชีวิต ท้าวพลีก็ยอมทำตามและยึดถือพระนารายณ์เป็นสรณะตลอดไป สามโลกก็กลับคือสู่สันติสุขอีกครั้ง
            และนี้เป็นที่มาของวลีที่ว่า ย่างสามขุม เป็นท่าหนึ่งในกระบวนแม่ไม้มวยไทยและยังเป็นการใช้วามนแทนความอ่อนน้อมถ่อมตนและการไม่ดูถูกผู้ที่ต่อยต่ำกว่าจึงนับเป็นอวตารที่มีความหายลึกซึ้งมากภาคหนึ่ง

บรมมหานารายณ์ทศอวตาร ตอน นรสิงหาวตาร

ทศอวตารนารายณ์เทพ ตอน นรสิงหาวตาร
ปางกู่เจ้าวิษณุเทพนาถา  นรสิงหาวภาคศักดิศร
ปราบปีสาจผู้อนุชาผู้อาจองค์ ขอพรพรหมเทวาจตุการ
ทรงเสด็จสำแดงฤทธิเดช เป็นมนุษย์กึ่งสิงห์สีหราชา
แหวกต้นเสาออกสังหารพญามาร สิ้นเดชาพยศร้ายวายชนม์สิ้น

                ปางอวตารที่สี่นี้สืบเนื่องมาจากปางก่อนคือ วราหาวตาร เมื่อหิรัญยากษะสิ้นชีพไปแล้วก็เลยน้องชายคือหิรัญกศิปุ ซึ่งมีนิสัยพาลหยาบช้าไม่แพ้กัน ได้ขอพรพระพรหมแล้วอาละวดาไปทั่วสามโลกก่อความวุ่นวายครอบครองสวรรค์เป็นที่เดือดร้อนไปทั่วและยกตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า จึงทรงแบ่งภาคอวตารลงมาเป็นอมนุษย์กึ่งเทพกึ่งมนุษย์กึ่งสิงห์ลงมาปราบหิรัญกศิปุถึงแก้ความตาย เรื่องราวมีดังต่อไปนี้
          หลังจากหิรัณยากษะพี่ชายตายไปหิรัญกศิปุ อสูรผู้น้องรู้สึกเคียดแค้นพระนารายณ์และเหล่าเทพเป็นกำลังคิดหาทางแก้แค้นแต่ตนมีกำลังไม่มากพอที่จะต่อกรกับเหล่าเทพอย่าว่าแต่เหล่าเทพเลยแค่พระอินทร์ก็สู้ไม่ได้แล้ว หิรัณกสิปุจึงได้ความคิดว่าหาตนขอพรจากพระพรหมก็จะสามารถทำสิ่งที่ตนคิดได้ ว่าแล้วจึงออกบวชยังป่าลึกก่อกู่บูชาไฟนั่งสมาธิสาธยายมนต์บูชาพระพรหมอยู่หลายสิบหลายร้อยปีจนเป็นที่พอใจของพระพรหมจึงเสด็จลงมาปรากฏกายต่อหน้าหิรัญกศิปุ และได้ให้หิรัญกศิปุขอพรได้ หิรัญกศิปุจึงขอพรให้ตนมีฤทธิ์เดชาอานุภาพเกรียงไกร ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ เทวดา อสูรไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันกลางคืนก็ไม่สามารถสังหารตนได้ ไม่ว่าจะเป็นบนอากาศหรือบนพื้นดินก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประเภทไหนก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรือนหรือนอกเรือนก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ เรียกได้ว่าข้อพรกันไว้ทุกทางไม่ให้พระนารายณ์มาสังหารตนได้ พระพรหมนั้นมีจิตเมตตาสูงจึงประทานให้และสั่งสอนให้อยู่ในสุจริตธรรมแล้วก็หายตัวไป
          เหมือนพระพรหมไปแล้ว หิรัญกศิปุก็กำเริบเสิบสานเหาะยกพลพรรคขึ้นไปท้ารบกับพระอินทร์ถึงสรวงสวรรค์ พระอินทร์ก็ออกต่อกรด้วยไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฆ่าได้จึงหนีไปพึ่งพระนารายณ์ที่ไวกูณฐ์สวรรค์ซึ่งพระนารายณ์ก็รับคำเพราะเห็นว่าหิรัญกศิปุเป็นภัยต่อจักรวาล
         หิรัญกศิปุได้ครอบครองสวรรค์ก็กำเริบเสิบสานตั้งตนเป็นพระผู้เป็นเจ้าใครไม่เคารพตนก็ต้องตายสถานเดียวจากหมู่เสนามารทั้งหลาย หิรัญกศิปุมีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อ ประหลาดกุมาร ซึ่งเป็นผู้ที่มีความซื่อตรงต่อพระนารายณ์มาก ตั้งตั้งตนอยู่ในสุจริตธรรมจึงพยายามชักชวนให้บิดาของตนเลิกทำชั่วช้ากับมาอยู่ในธรรมที่ถูกต้อง หิรัญกศิปุนั้นโกรธประหลาดกุมารมากแต่ด้วยความรักดังแก้วตาดวงใจจึงไม่ทำอะไรแต่พอนานเข้าความอดทนก็สิ้นสุด ในเมื่อมันไม่เคารพพ่อก็ไม่ควรเป็นพ่อลูกกัน จึงสั่งให้เสนายักาทำอย่างไรก็ได้ให้ประหลาดกุมารมานับถือตน แต่ประหลาดกุมารก็ยังมั่นคงต่อพระนารายณ์ สั่งให้เอาประหลาดกุมารไปฆ่า ให้ช้างตกมันเหยียบช้างก็ไม่เหยียบก็ชูงวงสักการะประหลาดกุมารเพราะประหลาดกุมารไม่หวาดกลัวต่อความตายท่องมนต์ถึงพระนารายณ์อยู่ตลอด เอานำมันเดือดราดก็กลายเป็นดอกไม้หอม เอาเหล็กที่ว่าคมที่สุดในสามโลกฟันดาบก็หักออกเป็นสองท่อน ทำอย่างไรก็สามารถฆ่าประหลาดกุมารได้ หิรัญกศิปุจึงให้นำตัวประหลาดกุมารเข้ามาในท้องพระโรงซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นใกล้เข้ากลางคืนเต็มทีและกล่าว่า มหาเทพวิษณุมีจริงหรือถ้ามีจริงก็ให้ปรากฏตัวออกมา ทันใดนั้นเสาหินที่กลางท้องพระโรงก็แตกออกปรากฏตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสิงห์ ตัวใหญ่มีกำลังมหาศาลตรงปรี่เข้ามาจับหิรัญกศิปุด้วยแรงมหาศาลลากไปไว้ที่ธรณีประตูและจับหิรัญกศิปุยกลอยบนอากาศและลงมาวางบนตักของตนแล้วกล่าวว่า
          "หิรัญกศิปุเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน"
          "ตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้กลางวันก็มิใช่กลางคืนก็มิใช่"
          "หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าอยู่บนอากาศหรือบนพื้นดิน"
          "ข้าไม่ได้อยู่บนอากาศ หรือบนดิน ข้าอยู่บนตักท่าน"
          "หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าอยู่ในเรือนหรือนกเรือน"
          "ข้าไม่ได้อยู่ทั้งในเรือนและนอกเรือนแต่อยู่ที่ธรณีประตู"
          "หิรัญกศิปุ ข้าเป็นเดียรัจฉาน มนุษย์ อสูร หรือเทวดา"
          "ท่านมิใช่เดียรัจฉาน มิใช่มนุษย์ มิใช่เทวดา ไม่ใช่อสูร" แล้วนรสิงห์ก็ยกมือซึ่งมีกรงเล็บว่า
          "หิรัญกศิปุนี้ใช่อาวุธหรือไม่"
          "ไม่ใช่แต่เป็นมือและเล็บของท่าน"
          "หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าพ้นจากพรของพระพรหมแล้ว จงยอมรับบาปของเจ้าเถอะ" นรสิงห์ก็ใช้กรงเล็กฉีกกระชากท้องหิรัญกศิปุ จนถึงทรงอกแล้วลากเอาไส้ออกมาหิรัญกศิปุเห็นร่างนรสิงห์เป็นพระนารายร์ศ้องทับกันก็ขาดใจตายทันที เสร็จแล้วนรสิงห์ก็แต่งตั้งประหลาดกุมารปกครองอสูรที่โลกบาดาลพร้อมสั่งสอนให้อยู่ในศีลธรรม แล้วก็กลับไปรวมกับพระนารายณ์ที่ไวกูณฐ์สวรรค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป