ปางกู่เจ้าวิษณุเทพนาถา นรสิงหาวภาคศักดิศร
ปราบปีสาจผู้อนุชาผู้อาจองค์ ขอพรพรหมเทวาจตุการ
ทรงเสด็จสำแดงฤทธิเดช เป็นมนุษย์กึ่งสิงห์สีหราชา
แหวกต้นเสาออกสังหารพญามาร สิ้นเดชาพยศร้ายวายชนม์สิ้น
ปางอวตารที่สี่นี้สืบเนื่องมาจากปางก่อนคือ วราหาวตาร เมื่อหิรัญยากษะสิ้นชีพไปแล้วก็เลยน้องชายคือหิรัญกศิปุ ซึ่งมีนิสัยพาลหยาบช้าไม่แพ้กัน ได้ขอพรพระพรหมแล้วอาละวดาไปทั่วสามโลกก่อความวุ่นวายครอบครองสวรรค์เป็นที่เดือดร้อนไปทั่วและยกตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า จึงทรงแบ่งภาคอวตารลงมาเป็นอมนุษย์กึ่งเทพกึ่งมนุษย์กึ่งสิงห์ลงมาปราบหิรัญกศิปุถึงแก้ความตาย เรื่องราวมีดังต่อไปนี้
หลังจากหิรัณยากษะพี่ชายตายไปหิรัญกศิปุ อสูรผู้น้องรู้สึกเคียดแค้นพระนารายณ์และเหล่าเทพเป็นกำลังคิดหาทางแก้แค้นแต่ตนมีกำลังไม่มากพอที่จะต่อกรกับเหล่าเทพอย่าว่าแต่เหล่าเทพเลยแค่พระอินทร์ก็สู้ไม่ได้แล้ว หิรัณกสิปุจึงได้ความคิดว่าหาตนขอพรจากพระพรหมก็จะสามารถทำสิ่งที่ตนคิดได้ ว่าแล้วจึงออกบวชยังป่าลึกก่อกู่บูชาไฟนั่งสมาธิสาธยายมนต์บูชาพระพรหมอยู่หลายสิบหลายร้อยปีจนเป็นที่พอใจของพระพรหมจึงเสด็จลงมาปรากฏกายต่อหน้าหิรัญกศิปุ และได้ให้หิรัญกศิปุขอพรได้ หิรัญกศิปุจึงขอพรให้ตนมีฤทธิ์เดชาอานุภาพเกรียงไกร ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ เทวดา อสูรไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันกลางคืนก็ไม่สามารถสังหารตนได้ ไม่ว่าจะเป็นบนอากาศหรือบนพื้นดินก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประเภทไหนก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรือนหรือนอกเรือนก็ไม่สามารถฆ่าตนได้ เรียกได้ว่าข้อพรกันไว้ทุกทางไม่ให้พระนารายณ์มาสังหารตนได้ พระพรหมนั้นมีจิตเมตตาสูงจึงประทานให้และสั่งสอนให้อยู่ในสุจริตธรรมแล้วก็หายตัวไป
เหมือนพระพรหมไปแล้ว หิรัญกศิปุก็กำเริบเสิบสานเหาะยกพลพรรคขึ้นไปท้ารบกับพระอินทร์ถึงสรวงสวรรค์ พระอินทร์ก็ออกต่อกรด้วยไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถฆ่าได้จึงหนีไปพึ่งพระนารายณ์ที่ไวกูณฐ์สวรรค์ซึ่งพระนารายณ์ก็รับคำเพราะเห็นว่าหิรัญกศิปุเป็นภัยต่อจักรวาล
หิรัญกศิปุได้ครอบครองสวรรค์ก็กำเริบเสิบสานตั้งตนเป็นพระผู้เป็นเจ้าใครไม่เคารพตนก็ต้องตายสถานเดียวจากหมู่เสนามารทั้งหลาย หิรัญกศิปุมีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อ ประหลาดกุมาร ซึ่งเป็นผู้ที่มีความซื่อตรงต่อพระนารายณ์มาก ตั้งตั้งตนอยู่ในสุจริตธรรมจึงพยายามชักชวนให้บิดาของตนเลิกทำชั่วช้ากับมาอยู่ในธรรมที่ถูกต้อง หิรัญกศิปุนั้นโกรธประหลาดกุมารมากแต่ด้วยความรักดังแก้วตาดวงใจจึงไม่ทำอะไรแต่พอนานเข้าความอดทนก็สิ้นสุด ในเมื่อมันไม่เคารพพ่อก็ไม่ควรเป็นพ่อลูกกัน จึงสั่งให้เสนายักาทำอย่างไรก็ได้ให้ประหลาดกุมารมานับถือตน แต่ประหลาดกุมารก็ยังมั่นคงต่อพระนารายณ์ สั่งให้เอาประหลาดกุมารไปฆ่า ให้ช้างตกมันเหยียบช้างก็ไม่เหยียบก็ชูงวงสักการะประหลาดกุมารเพราะประหลาดกุมารไม่หวาดกลัวต่อความตายท่องมนต์ถึงพระนารายณ์อยู่ตลอด เอานำมันเดือดราดก็กลายเป็นดอกไม้หอม เอาเหล็กที่ว่าคมที่สุดในสามโลกฟันดาบก็หักออกเป็นสองท่อน ทำอย่างไรก็สามารถฆ่าประหลาดกุมารได้ หิรัญกศิปุจึงให้นำตัวประหลาดกุมารเข้ามาในท้องพระโรงซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเย็นใกล้เข้ากลางคืนเต็มทีและกล่าว่า มหาเทพวิษณุมีจริงหรือถ้ามีจริงก็ให้ปรากฏตัวออกมา ทันใดนั้นเสาหินที่กลางท้องพระโรงก็แตกออกปรากฏตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสิงห์ ตัวใหญ่มีกำลังมหาศาลตรงปรี่เข้ามาจับหิรัญกศิปุด้วยแรงมหาศาลลากไปไว้ที่ธรณีประตูและจับหิรัญกศิปุยกลอยบนอากาศและลงมาวางบนตักของตนแล้วกล่าวว่า
"หิรัญกศิปุเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน"
"ตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้กลางวันก็มิใช่กลางคืนก็มิใช่"
"หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าอยู่บนอากาศหรือบนพื้นดิน"
"ข้าไม่ได้อยู่บนอากาศ หรือบนดิน ข้าอยู่บนตักท่าน"
"หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าอยู่ในเรือนหรือนกเรือน"
"ข้าไม่ได้อยู่ทั้งในเรือนและนอกเรือนแต่อยู่ที่ธรณีประตู"
"หิรัญกศิปุ ข้าเป็นเดียรัจฉาน มนุษย์ อสูร หรือเทวดา"
"ท่านมิใช่เดียรัจฉาน มิใช่มนุษย์ มิใช่เทวดา ไม่ใช่อสูร" แล้วนรสิงห์ก็ยกมือซึ่งมีกรงเล็บว่า
"หิรัญกศิปุนี้ใช่อาวุธหรือไม่"
"ไม่ใช่แต่เป็นมือและเล็บของท่าน"
"หิรัญกศิปุเวลานี้เจ้าพ้นจากพรของพระพรหมแล้ว จงยอมรับบาปของเจ้าเถอะ" นรสิงห์ก็ใช้กรงเล็กฉีกกระชากท้องหิรัญกศิปุ จนถึงทรงอกแล้วลากเอาไส้ออกมาหิรัญกศิปุเห็นร่างนรสิงห์เป็นพระนารายร์ศ้องทับกันก็ขาดใจตายทันที เสร็จแล้วนรสิงห์ก็แต่งตั้งประหลาดกุมารปกครองอสูรที่โลกบาดาลพร้อมสั่งสอนให้อยู่ในศีลธรรม แล้วก็กลับไปรวมกับพระนารายณ์ที่ไวกูณฐ์สวรรค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น